วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของหลังคา


ประเภทของหลังคา

รูปทรงของหลังคามีอยู่ 5 แบบ คือ

1.หลังคา SLAB หรือหลังคาแบน สามารถใช้ประ โยชน์บนหลังคาได้ แต่ต้องระวังการรั่วซึม

2. หลังคาเพิงหมาแหงน คือ หลังคาที่เอียงไปด้าน เดียว ราคาถูก และก่อสร้างง่าย

3. หลังคาทรงมนิลา หรือหลังคาหน้าจั่ว คือ หลังคา ที่มีสันตรงกลาง และลาดลงทั้ง 2 ข้าง

4. หลังคาทรงปั้นหยา เป็นหลังคาที่กันแดดกันฝน ได้ทุกด้าน แต่ราคาค่อนข้างแพง>

5. หลังคาปีกผีเสื้อ ปัจจุบันไม่นิยมกันแล้ว เพราะ จะเอียงกลับเข้ามาตรงกลาง ซึ่งเป็นรางน้ำทำให้รั่วง่าย 

ชนิดของมุงหลังคา

บ้านที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง จะให้ความรู้สึกอบ อุ่น มีหลายชนิด เช่น กระเบื้องโมเนีย มีสีให้เลือกมาก แต่ ก็มีน้ำหนักมาก ต้องมุงให้มีความลาดชันมาก
กระเบื้องลอนคู่และลูกฟูก น้ำหนักเบา แต่มุงให้มี ความลาดน้อยกว่าได้
METAL SHEET คือ แผ่นเหล็กที่รีดลอนแล้ว เคลือบสี จะมีรอยต่อน้อย สามารถรีดเป็นแผ่นยาวตลอดได้ จึงลดปัญหาการรั่วซึม และมีน้ำหนักเบา ทำให้ลดขนาดใน ส่วนของโครงสร้างได้
 

วิธีการมุงหลังคาแต่ละชนิด

กระเบื้องมุงหลังคาแต่ละชนิด จะมีความลาดเอียงใน การมุงไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น กระเบื้องโมเนียจะต้องมุงให้ มีความลาดเอียงไม่น้อยกว่า 17 องศา
ส่วนกระเบื้องลอนคู่และลูกฟูก สามารถมุงหลังคาให้ มีความลาดเอียงไม่น้อยกว่าประมาณ 10 - 12 องศา
ส่วน METAL SHEET สามารถมุงได้น้อยกว่า 10 - 12 องศา แล้วแต่วิธีการออกแบบ
เพราะฉะนั้นเวลาเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคา ควรตรวจดู ความลาดเอียงของหลังคาให้ถูกต้องด้วย มิฉะนั้นจะทำให้หลัง คารั่วได้

โครงสร้างหลังคาไม้

ข้อดี: สามารถติดตั้งได้สะดวก ช่างธรรมดาสามารถติด ตั้งได้ เหมาะสำหรับบ้านไม้ เพราะการยึดติดกับเสาและคาน สามารถทำได้สะดวก
ข้อเสีย: มีราคาค่อนข้างแพง และหาไม้ที่มีคุณภาพดีได้ ยาก มีการบิดงอง่าย ไม่เที่ยงตรง และมีปัญหาเกี่ยวกับปลวก

โครงสร้างหลังคาเหล็ก

ข้อดี: มีความเที่ยงตรงในการทำงาน เหมาะสำหรับบ้าน ที่ก่อสร้างด้วยปูน มีราคาถูกกว่าไม้ ทั้งยังมีรูปแบบให้เลือกมาก มาย
ข้อเสีย: ช่างต้องมีประสบการณ์ในการเชื่อมต่อโครงหลัง คาเหล็ก และถ้ามีการป้องกันผิวไม่ดี เวลาเกิดการรั่วซึมของหลัง คา จะมีปัญหาเรื่องการเกิดสนิมได้

การกันความร้อนใต้หลังคา

จะใช้แผ่นอลูมิเนียมฟรอยด์ มีลักษณะบางๆ สะท้อนแสง และความร้อนได้ โดยปูไว้ใต้หลังคากระเบื้อง บนโครงสร้างที่เรา เรียกว่า "แป" โดยแผ่นฟรอยด์จะทำหน้าที่สะท้อนความร้อนที่แผ่ ลงมาจากกระเบื้อง ไม่ให้ผ่านมายังตัวห้อง ซึ่งจะทำให้ห้องเย็นและ สามารถแอร์ประหยัดได้ด้วย 

ชนิดของวัสดุกันซึมบนหลังคา

วัสดุกันซึมบนหลังคาแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ แบบ แผ่นและแบบทา
แบบแผ่น จะต้องปูแผ่นกันซึมบนพื้นที่ที่จะป้องกัน แล้วเทปูนทรายทับ หรืออาจจะไม่ต้อง แล้วแต่ชนิดของผู้ ผลิตแต่จะมีประสิทธิภาพสูง และราคาแพงกว่า
แบบทา จะสะดวก คือ ทาไปบนผิวส่วนนั้นเลย ราคา จะถูกกว่า แต่ประสิทธิภาพจะสู้แบบแรกไม่ได้
 
ขอขอบคุณที่มา : http://www.pnp-construction.com/

เทคนิคขั้นเทพวิธีทาสีบ้านหลังเก่าให้สวยสดเหมือนใหม่

เทคนิคขั้นเทพวิธีทาสีบ้านหลังเก่าให้สวยสดเหมือนใหม่
สีที่ใช้สำหรับงานปูน ได้แก่ สีทารองพื้นและสีจริง แตกต่างกันอย่างไร มีคำอธิบายครับ
1.สีทารองพื้น มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่
- สีทารองพื้นชนิดที่ทำจากอะคริลิก ซึ่งจะช่วยป้องกันเชื้อราใช้ทารองพื้นผนังปูนฉาบทั่วๆ ไปก่อนทาควรผสมน้ำเจือจางประมาณ 20% ของสี
- สีทารองพื้นชนิดที่ทำมาจากอัลคาไล สีชนิดนี้นอกจากจะป้องกันเชื้อราได้ดีแล้วยังป้องกันความชื้นได้ดีกว่าสีทารองพื้นชนิดที่ทำจากอะคริลิกการใช้งานกับบ้านเก่าควรเลือกสีประเภทนี้ ชนิดรองพื้นปูนเก่า ผสมน้ำ 20% ทารองพื้นก่อนทาสีจริง
2.สีจริง หรือที่เราเคยได้ยินกันติดหูว่าสีน้ำพลาสติกนั่นล่ะครับ สีพวกนี้ทำมาจากสารจำพวกลาเท็กซ์และอะคริลิก
มีการยึดเกาะและยืดหยุ่นที่ดี มีส่วนผสมที่สามารถต่อต้านเชื้อราเหมาะกับสภาพอากาศเมืองร้อนอย่างบ้านเราทำความสะอาดง่ายก่อนใช้ควรผสมน้ำให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมตามที่ผู้ผลิตสีแนะนำไว้ (ข้างกระป๋องไงครับ)
สีที่ใช้สำหรับงานไม้
สีชนิดนี้มีประโยชน์ในด้านการป้องกันไม่ให้ความชื้นจากภายนอกเข้าไปทำลายเนื้อไม้ และ ยังช่วยรักษาความชื้นสัมพัทธ์ของเนื้อไม้เอาไว้ได้ดี ไม้จึงไม่เกิดการแตกร้าว หากได้รับการทาสีอย่างถูกวิธีสีทาไม้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดเช่นเดียวกับสีทาปูน คือ สีรองพื้นและสีจริง
1.สีทารองพื้นไม้ มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่ สีทารองพื้นไม้ชนิดผสมอะลูมิเนียม ใช้ทารองพื้นไม้ชั้นแรกเพื่อป้องกันยางไม้และความชื้นภายในไม่ให้ไหลออกมาปะปนกับสีจริง สีทารองพื้นไม้สีน้ำมัน เป็นสีที่แห้งเร็วเนื่องจากมีทินเนอร์เป็นส่วนผสมทำให้สีเจือจางเหมาะสำหรับทารองพื้นครั้งแรกหรือทาทับไม้ที่เคยทาสีอื่นมาก่อนสีชนิดนี้ทนทานต่อรอยขีดข่วนดี และทนความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส
2.สีจริง คือ สีที่ทาลงไปชั้นนอกสุดเพื่อความสวยงาม สามารถเลือกได้ว่าจะใช้สีโทนไหนจะเอาหวานแหววหรือเข้มขรึมสักแค่ไหน แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่านส่วนใหญ่ทำมาจากใยสังเคราะห์ เนื้อสีที่ทาแล้วจะมีความมันเป็นเงางาม มีการต้านทานเชื้อราที่ดีทนการขีดข่วนพอสมควร บางชนิดทนความร้อนได้สูงถึง 93 องศาเซลเซียส
สีที่ใช้สำหรับงานโลหะ จัดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือสีทารองพื้นและสีจริง
1.สีทารองพื้นโลหะ มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่ สีทารองพื้นโลหะชนิดผสมผงซิงค์โครเมท ภาษาชาวบ้านก็สีกันสนิมนั่นล่ะครับ สีชนิดนี้จะทำหน้าที่ป้องกัน ไม่ให้เหล็กสูญเสียอิเล็กตรอนให้กับอากาศ ดังนั้นเหล็กจึงไม่เกิดสนิม ก่อนทาควรกำจัดสนิมให้หมดเสียก่อน แล้วผสมให้เจือจางด้วยทินเนอร์ สีทารองพื้นโลหะชนิดที่ทำมาจากอีพอกซี่ ใช้ทารองพื้นผิวที่เป็นเหล็กป้องกันการกัดกร่อนได้ดีมาก สีชนิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้ทารองพื้นโลหะในเรือเดินสมุทร
2.สีจริง เป็นสีที่ใช้ทาทับเพื่อความสวยงาม เป็นสีน้ำชนิดเดียวกับที่ใช้ทาไม้นั่นล่ะครับ เนื่องจากสีน้ำมันมีคุณสมบัติการยึดเกาะได้ดีทั้งไม้ ปูน และโลหะ (ผิวไม่เรียบ)
อุปกรณ์ทาสี
เครื่องไม้เครื่องมือที่คุณจะต้องเตรียมสำหรับการทาสีก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ต้องเลือกใช้ให้ถูกประเภทของสี เป็นความรู้ในการเลือกซื้อถูก จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี หรือเสียเวลาเอาไปเปลี่ยนการทาสีน้ำมัน คุณจะต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
1.แปรงสำหรับทาสีน้ำมัน มีขนาดความกว้างหลายขนาด หากพื้นที่กว้างก็เลือกชนิดหน้ากว้าง หากพื้นที่แคบก็เลือกขนาดเล็กๆ สักหน่อยสีจะได้ไม่เลอะส่วนที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณที่จะทา
2.ภาชนะผสมสี ควรเตรียมให้มีขนาดที่เหมาะสมเพราะการผสมสีต้องผ่านกรรมวิธีการคนสีให้เข้ากับทินเนอร์ก่อนทาไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกนะครับเพราะทินเนอร์หรือน้ำมันสนนั้นจะกัดเนื้อผิวพลาสติกจนละลาย
3.ภาชนะแช่และล้างแปรง เมื่อทาสีเสร็จเรียบร้อย แปรงต่างๆ ยังคงสามารถเก็บไว้ใช้ได้ดังนั้นเราควรมีภาชนะสำหรับแช่และทำความสะอาดแปรงด้วยภาชนะไม่ควรเป็นพลาสติก เพราะทินเนอร์หรือน้ำมันสนนั้นจะกัดเนื้อผิวพลาสติกจนละลายเช่นกัน
การทาสีน้ำพลาสติก มีอุปกรณ์ต่างออกไปจากสีน้ำมันดังนี้ครับ
1.แปรงดอกหญ้า (ทำมาจากดอกหญ้า) ชนิดเดียวกับที่เราใช้กวาดบ้านนั่นล่ะแต่จะไม่มีด้ามมัดให้ปลายดอกบานออกใช้จุ่มสีทาได้ ช่างมืออาชีพส่วนใหญ่จะใช้แปรงชนิดนี้แปรงชนิดนี้ใช้แรกๆ มักจะมีสีเหลืองตกออกมา ดังนั้นควรแช่น้ำให้สีตกออกมาเสียก่อน จึงนำไปใช้ทาสีได้
2. ลูกกลิ้ง จะดีกว่าแปรงตรงที่ทาสีได้สม่ำเสมอ และรวดเร็วกว่าแต่ลูกกลิ้งไม่สามารถทาแทรกเข้าไปตามซอกมุมได้ ดังนั้นจึงต้องใช้แปรงช่วยในการเก็บงานอีกครั้งหนึ่ง
การเตรียมพื้นผิว
1.ผิวโลหะ : ถ้าเป็นสนิม อย่ามองข้ามให้กำจัด (ให้สิ้นซาก) ให้หมดก่อนด้วยการใช้กระดาษทรายขัดบริเวณที่เป็นสนิม แล้วทารองพื้นกันสนิมก่อนทาสีจริงทับ
2.ผิวไม้ : ต้องมั่นใจว่าไม้นั้นแห้งสนิทแล้วจึงทำการขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบเช็ดฝุ่นผงไม้ที่เกิดจากการขัดออกให้หมด ก่อนทาทับด้วยสีรองพื้นไม้กันเชื้อราหากเป็นไม้เก่าที่ผ่านการทาสีมาแล้ว แต่สภาพดีก็สามารถใช้กระดาษทรายบะเอียดขัดได้เลยก่อนล้างฝุ่นออกรอให้แห้งสนิท แล้วจึงทาสีทับต่อไปแต่ถ้าสีเดิมมีการหลุดร่อน แตกลาย จะต้องใช้น้ำยากัดสีเก่าออกก่อน น้ำยากัดสีตัวนี้แรงนะครับก่อนใช้ต้องมีการป้องกีนร่างกายของเราด้วยการใส่ถุงมือและระวังอย่าให้กระเด็นถูกส่วนต่างๆ ของร่างกายเพราะว่าจะแสบมาก เมื่อลอกสีเก่าออกหมดแล้ว ควรทำความสะอาด จากนั้นทารองพื้น 2 ครั้งทิ้งระยะเวลาห่างกัน 24 ชั่วโมง ก่อนทาทับอีกครั้ง หรือตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์ (ข้างกระป๋อง)ส่วนสีจริงต้องทาชั้นแรกทิ้งไว้ 16 ชั่วโมงแล้วค่อยทาชั้นที่ 2
3.ผิวปูน : หากเป็นผนังปูนใหม่ต้องรอให้ผนังแห้งดีเสียก่อนแล้วใช้กระดาษทรายลูบเพื่อให้เม็ดทรายหรือคราบน้ำปูนหลุดออก ก่อนทาทับด้วยสีรองพื้น และสีจริงตามลำดับหากเป็นผนังเก่าให้ตรวจดูสภาพหากชำรุดมากให้ทำการล้างและขัดออกด้วยแปรงลวดจากนั้นอุดโป้วรอยร้าวก่อนทำการขัดด้วยกระดาษทราย ทารองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนเก่า 1 ครั้งและสีจริง 3 ครั้งก็เป็นอันพอจะรู้ขั้นตอนต่างๆ ของการทาสีกันบ้างแล้วนะครับสำหรับท่านใดที่ไม่มีเวลาแต่อยากเปลี่ยนบ้านหลังเก่าของคุณให้ดูใหม่ก็จ้างช่างครับแต่เตือนกันไว้สักเล็กน้อยครับ ช่างบางคนตบตาเจ้าของบ้านเพราะความขี้เกียจ เช่นการเตรียมผิวไม้ต้องขัดกระดาษทรายให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงทาสีช่างบางคนแอบใช้สีพลาสติกทาทับอุดรอยเสี้ยนไม้ไปเลย รอจนแห้งแล้วใช้สีน้ำมันทาทับดูว่างานสีน้ำมันค่อนข้างเรียบร้อยแต่นานไปจะเกิดการแตกและหลุดร่อนออกมาต้องรื้องานมาซ่อมกันใหม่ภายหลังแบบนี้ไม่ดีแน่ หากมีเวลาแอบดูวิธีการทำงานของช่างบ้าง ก็จะดีนะครับ

ขอขอบคุณที่มา : http://www.dohome.co.th

ปรับ ฮวงจุ้ยในห้องนอน - ทาสี บ้าน กับ ฮ วง จุ้ย

ฮวงจุ้ย เป็นการพยากรณ์ที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีกำเนิดมาจากจีนโบราณกว่า 3,000 ปี มีการศึกษาพัฒนามาเรื่อยๆ เป็นความรู้เกี่ยวกับการจัดหรือการวางสิ่งต่างๆให้อยู่ในตำแหน่งหรือทิศทาง ที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อควบคุมความมีโชค ความมีสุขภาพดี ความรุ่งเรืองและศิลปะแห่งธรรมชาติ

หลักการจัดวางห้องนอน

1. หลังคาไม่ควรเปิดให้แสงสว่างกระจายเข้ามาสู่ห้องนอนเจ้าของบ้าน

2. ไม่ควรมีหน้าต่างลักษณะกลม

3. เพดานควรออกแบบให้ได้สัดส่วนกับห้อง

4. ลักษณะห้องไม่ควรผิดปกติหรือมีมุมมากจนเกินไป

5. พื้นไม่ควรต่ำกว่าห้องน้ำ

6. ไม่แนะนำให้มีชั้น หรือหิ้งไว้ที่ห้องนอนเจ้าของบ้าน

7. ไม่ควรมีภาพวาดหรือภาพถ่ายที่สัมพันธ์กันกับภาพทิวทัศน์ต่างๆ

8. ไม่ควรมีตู้ปลาในห้องนอนเจ้าของบ้าน

ฮวงจุ้ยของเตียง เชื่อกันว่าการจัดเตียงได้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมั่นใจได้ถึง โชคลาภและโอกาสที่จะก้าวหน้า เป็นคุณต่อสุขภาพ การหันหน้าเตียงมีอิทธิพลต่อผู้อาศัย ดังนี้

* ทิศเหนือ ช่วยการพัฒนาการรู้ โดยสัญชาญาณ

* ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยในการทำงานที่สัมพันธ์กันกับการค้นคว้า ทดลอง

* ทิศตะวันออก จะนอนหลับด้วยความสงบ สันติ

* ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยให้มีความพากเพียรพยายามในการทำงาน

* ทิศใต้ จะมีชื่อเสียงเกียรติยศดี

* ทิศตะวันตก จะมีลูกที่ดี

* ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะมีเพื่อนมากมาย


กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดวางตำแหน่งของเตียง
* ไม่ควรตั้งเตียงเอาไว้ใต้ขื่อ
* ไม่ควรตั้งเตียงไปทางประตูห้องนอน
* ไม่ควรมีที่เปิดได้อยู่เหนือ
* ไม่ควรหันเตียงเข้าหากระจก
* ไม่ควรตั้งเตียงให้อยู่ในระหว่างเสา 2 ต้น
* ไม่ควรตั้งเตียงเข้าหามุมห้อง
* ไม่ควรหันเตียงเข้าหาหน้าต่างที่มองเห็นแท็งค์น้ำหรือปล่องไฟ
* เตาไฟ อ่างน้ำ หรือโถส้วม ไปตั้งอยู่หลังฝาผนังตรงหัวเตียงไม่เป็นมงคล
* หัวเตียงต้องชิดฝาผนัง ไม่ควรหันเตียงไปตรงกับประตูหรือหน้าต่าง
* ไม่ควรวางหรือแขวนอะไรไว้เหนือหัวเตียง
* ไม่แนะนำให้ใช้เตียงในลักษณะกลม
* ไม่ควรโยกย้ายเตียง เมื่อภรรยาตั้งครรภ์
* ไม่ควรมีห้องน้ำหรือห้องส้วมตั้งอยู่เหนือตำแหน่งเตียง

ขอขอบคุณที่มา : http://www.dohome.co.th

เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง

เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง

เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าอยากให้บ้านสวยสดใสก็ต้องแต่งแต้มสีสันให้บ้านบ้าง ซึ่งถ้าเป็นบริเวณภายนอกก็อาจจะทาสีตามที่ต้องการ ส่วนภายในก็สามารถตกแต่งได้หลายแบบ ทั้งทาสี ติดวอลเปเปอร์ หรือเลือกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์รูปแบบต่าง ๆ แต่ทราบไหมคะว่านอกจากจะทาสีให้บ้านดูสวยงามสดใสขึ้นมาแล้ว ว่ากันว่าถ้าอยากให้บ้านมีลุคแบบไหน หรืออยู่แล้วให้ความรู้สึกอย่างไร ก็สามารถกำหนดได้ด้วยการตกแต่งบ้านตามสี ซึ่งแต่ละสีก็ให้อารมณ์ตามนี้เลยจ้า


เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง
ภาพจาก Chris Snook

1. สีโทนเย็นในวันเหนื่อยล้า


          ถ้าอยากอยู่ในบ้านที่ให้ความรู้สึกเย็นสบาย พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูจิตใจและร่างกายจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แนะนำให้แต่งบ้านด้วยโทนสีฟ้าที่ช่วยให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย สีเขียวให้ความรู้สึกเย็นใจ อบอุ่นและปลอดภัย เหมาะที่จะตกแต่งในห้องนอน ห้องทำงาน และส่วนโถงของบ้าน หรือ สีม่วงลาเวนเดอร์ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และสีเบจ ที่มอบความรู้สึกยินดี พร้อมต้อนรับเรากลับบ้านเสมอ


เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง
ภาพจาก Seattle Staged To Sell

2. โทนสีอ่อนต้อนรับแขก

          สำหรับใครที่ต้องการให้บ้านเย็นสบาย ควรจะตกแต่งบ้านด้วยโทนสีอ่อน เช่น สีเขียวอ่อน สีขาวมะพร้าว สีฟ้าน้ำทะเล  และสีฟ้าอมเขียว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านเย็นขึ้นแล้ว ยังทำให้บ้านมีบรรยากาศสบาย ๆ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุดเลยค่ะ หากนำมาตกแต่งห้องนั่งเล่น นอกจากจะช่วยให้สมาชิกในบ้านอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ยังเหมาะจะใช้ต้อนรับแขกอีกด้วย


เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง
ภาพจาก Concreteworks

3. สีขาวนวลหลากอารมณ์

         
          สีขาวเป็นสีเบสิคที่คนนิยมใช้แต่งบ้าน เพราะเป็นสีที่ทำให้บ้านดูสว่าง สะอาด และยังช่วยเสริมให้ของตกแต่งภายในบ้านชิ้นอื่น ๆ ดูโดดเด่นขึ้นมาได้ง่าย ๆ หลายคนก็เลยเลือกที่จะตกแต่งบ้านด้วยสีขาว โดยเฉพาะกับผนังบ้าน ทางเดิน และบริเวณบันได แต่สีขาวก็ใช่ว่าจะมีเฉดเดียว แถมแต่ละเฉดสีของสีขาวก็ให้ความรู้สึกต่างกันอีกด้วย โดยสีขาวที่ให้ความรู้สึกสว่างแบบอบอุ่น ก็จะเป็นโทนขาว-ครีม, ขาวอมเหลือง ส่วนสีขาวอมชมพู, ขาวอมเขียว และขาวอมฟ้า จะให้ความสว่างสดใสและทันสมัยแทน อยากได้บ้านอารมณ์แบบไหนก็ลองเลือกสีขาวแนวนั้นดูนะคะ


เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง
ภาพจาก Cardel Designs

4. สีเข้มแสนสุขุม


          โทนสีเข้ม ๆ เหล่านี้จะช่วยให้บ้านดูอบอุ่นแบบสุขุมนุ่มลึก โดยเฉพาะสีดำและสีน้ำตาล ที่ไม่ว่าจะนำไปตกแต่งส่วนไหนของบ้าน ก็จะทำให้บรรยากาศในส่วนนั้น ๆ เต็มไปด้วยพลัง ความลึกลับ และความเท่ ยิ่งถ้าเลือกสีเหลืองสดมาตกแต่งเพิ่มเข้าไปอีกก็จะช่วยดึงความสดใสรื่นเริง และเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ห้องนั้นได้ด้วย ส่วนสีแดงเข้มก็จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและเพิ่มสไตล์ให้ดูเก่ไก๋ และสีส้มก็จะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นความอยากอาหาร เพิ่มความมีชีวิตชีวา และทำให้คนอยู่มีอารมณ์แจ่มใสขึ้นด้วยจ้า


เปลี่ยนอารมณ์บ้านด้วยโทนสี ให้สวยตามสั่ง
 ภาพจาก Bashford & Dale

5. สีโทนร้อนเพิ่มความอบอุ่น

          สีที่เมื่อนำมาตกแต่งร่วมกันแล้วจะให้ความรู้สึกอบอุ่น และเปลี่ยนบรรยากาศของห้องให้น่าอยู่มากขึ้นก็คือสีโทนอบอุ่น เช่น สีกาแฟ สีเหลืองฟักทอง สีชมพูดอกทิวลิป และสีแดงเลือดหมู ดังนั้นถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศห้องให้อบอุ่นมากขึ้นก็ลองนำสีเหล่านี้ไปตกแต่งกันดูนะจ๊ะ


          ถ้าโลกนี้ไม่มีสีสันแต่งแต้มก็คงจะจืดชืดไม่น่าสนใจ เพราะนอกจากสีจะช่วยสร้างสรรค์ความสดใสสวยงามแล้ว สียังช่วยปรับอารมณ์ของคนให้รู้สึกตามสีต่าง ๆ ได้อีกด้วยเนอะ

ขอขอบคุณที่มา : http://home.kapook.com/view69384.html


หลังคาบ้านแบบไหนเหมาะกับอากาศเมืองไทย

วิธีเลือกหลังคาบ้าน หลังคาแบบไหนเหมาะกับเมืองไทย

หลังคาบ้านแบบไหนเหมาะกับอากาศเมืองไทย

หลังคาบ้านแบบไหนเหมาะกับอากาศเมืองไทย (home&decor)


          ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับรูปแบบของหลังคาที่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราก่อน ซึ่งรูปแบบหลังคา ที่เหมาะกับอากาศของประเทศไทยก็คือ หลังคาทรงจั่ว เนื่องจากผ่านการพิสูจน์จากกาลเวลามาเรียบร้อยแล้ว ว่าเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยมากที่สุด ด้วยลักษณะที่มีความลาดเอียงมากทำให้ระบายน้ำฝนได้เร็วและช่วยระบายความร้อนใต้หลังคาได้ดี

          ส่วนรูปแบบหลังคาอื่น ๆ เช่น หลังคาสแลป มีลักษณะแบนราบหรือเรียกอีกอย่างว่าหลังคา ดาดฟ้า ข้อดีคือเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ แต่ข้อเสียคือถ้าก่อสร้างไม่ดี อาจทำให้น้ำรั่วซึมลงไปยังชั้นล่าง และพื้นคอนกรีตยังเป็นตัวเก็บความร้อน ทำให้บ้านร้อนอีกด้วย หลังคาอีกแบบที่พบเห็นบ่อย ๆ คือหลังคาทรง Lean to Roof หรือเพิงหมาแหงน มีลักษณะเอียงลาดไป ด้านใดด้านหนึ่งเพื่อช่วยในการระบายน้ำฝน ส่วนใหญ่บ้านสไตล์โมเดิร์นมักใช้รูปแบบหลังคาประเภทนี้ ข้อควรระวังคือ องศาความลาดเอียงของหลังคาต้องเพียงพอให้น้ำฝนระบายออกได้
กระเบื้องหลังคาสวยอย่างเดียวอาจไม่พอ

          เพราะเพียงกระเบื้องมุงหลังคาอย่างเดียว ไม่อาจตอบโจทย์ความสบายแบบครบถ้วนของบ้านได้ หากละเลยโครงสร้างก็สามารถเกิดปัญหาการรั่วซึมและหลุดล่อนทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้เช่นกัน

1. กระเบื้องหลังคา

          การเลือกวัสดุมุงหลังคาก็ช่วยบ่งบอกสไตล์ของบ้านและเจ้าของบ้านได้เช่นกัน ในปัจจุบันวัสดุที่นิยมใช้มุงหลังคามากที่สุดก็คือ กระเบื้องหลังคา เนื่องจากมีรูปลักษณ์และคุณสมบัติที่เหมาะสม มีรูปแบบให้เลือกหลากหลายเข้ากับบ้านได้ทุกสไตล์ อาทิ บ้านสไตล์โมเดิร์นทันสมัย ก็ควรเลือกใช้กระเบื้องมุงหลังคาแผ่นเรียบที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงดูโมเดิร์นให้เข้ากับตัวบ้าน หากสไตล์บ้านออกแนวร่วมสมัย สามารถเลือกใช้หลังคาเป็นลอนโค้งเพิ่มความคลาสสิกให้กับบ้าน หรือถ้าหากบ้านสไตล์ธรรมชาติ ลองเลือกหลังคารูปลักษณ์และสีสันคล้ายกับปีกไม้ก็จะยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น

          แต่ถ้าแยกย่อยลงไปอีกก็จะพบว่ากระเบื้องหลังคา แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายดังต่อไปนี้

           กระเบื้องคอนกรีตหรือกระเบื้องซีเมนต์ พบเห็นกระเบื้องหลังคาประเภทนี้ได้เยอะที่สุด ในหลังคาของบ้านพักอาศัย เนื่องจากมีความแข็งแรงและสวยงาม แต่มีน้ำหนักมาก จึงต้องใช้โครงหลังคาเหล็กที่มีความแข็งแรงเพี่อรองรับน้ำหนักของตัววัสดุ

           กระเบื้องดินเผา ส่วนใหญ่เห็นในหลังคาอาคารที่มีลักษณะความเป็นไทย เช่น เรือนไทย วัด โบสถ์ ผลิตจากดินเหนียวผสมน้ำ นวดให้เข้ากันจนได้ที่แล้วนำไปขึ้นรูปและเผาไฟจนได้แผ่นกระเบื้องที่มีความแข็งแรง นำไปมุงหลังคาได้ มีทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบน้ำยา

           กระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ บางคนอาจคุ้นกับคำว่า กระเบื้องลอนคู่มากกว่า แต่ก็คือกระเบื้องหลังคาชนิดเดียวกัน ปัจจุบันกระเบื้องหลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์เกือบทุกยี่ห้อจะไม่มีใยหินเป็นส่วนประกอบและมีความแข็งแรงทนทานมากกว่ากระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ในอดีต รวมทั้งมีสีสันให้เลือกมากและราคาไม่แพง จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

           หลังคาเซรามิก ยังคงเป็นหลังคาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับบ้าน เพราะตัวเซรามิก มีความมันวาว จึงโดดเด่นในด้านความสวยงามของรูปลอนและความสวยเนียนของสีที่เคลือบบนผิวของหลังคา โดยเฉพาะเมื่อแสงแดดจากพระอาทิตย์สาดส่อง ตัวหลังคาเซรามิกสามารถ สะท้อนสีสันบนผิวออกมาอย่างชัดเจน ทำให้บ้านดูสวยงาม ตัวเซรามิกเองก็มีความทนทานป้องกันความร้อนได้ดี

          นอกจากนี้ยังมีวัสดุมุงหลังคาประเภทต่าง ๆ เช่น แผ่นโพลีคาร์บอเนต ซึ่งเป็นแผ่นพลาสติก โปร่งแสง ใช้ทำหลังคาหรือกันสาดให้แสงสว่างส่องผ่านได้ หรือหลังคาที่เลียนแบบวัสดุธรรมชาติ เช่น ทางมะพร้าว ใบจาก ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์แต่มีสีสันและพื้นผิวสัมผัสคล้ายกับวัสดุธรรมชาติ

หลังคาบ้านแบบไหนเหมาะกับอากาศเมืองไทย

2. โครงหลังคา

          โครงหลังคาเปรียบเสมือนโครงกระดูกที่อยู่ภายในร่างกาย จึงต้องมีความแข็งแกร่ง ทนทานเพื่อพยุงหลังคาทั้งหลังได้อย่างมั่นคง แม้จะมองจากภายนอกไม่เห็นก็ตาม วัสดุที่นิยมใช้เป็นโครงหลังคามี 2 ประเภท คือไม้เนื้อแข็ง และเหล็ก แต่ในปัจจุบันโครงหลังคาไม้มีราคาสูงและมักประสบปัญหากับคุณภาพของไม้ ทั้งเรื่องไม้ที่ยังไม่แห้งสนิทหรือไม่ได้รับการทายากันปลวกตามกำหนด จึงทำให้โครงหลังคาไม้ค่อย ๆ ลดจำนวนลงไป ส่วนโครงหลังคาเหล็กก็มี 2 ประเภท คือ โครงหลังคาเหล็กรูปพรรณ เป็นโครงหลังคาที่ทำจากเหล็กรูปตัว C นำมาเชื่อมต่อกัน ทาสีกันสนิมแล้วยกเหล็กขึ้นไปเชื่อมด้วยเครื่องเชื่อมด้านบนเพื่อเป็นโครงหลังคา แล้วจึงมุงด้วยวัสดุมุงหลังคา ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบของโครงหลังคาเหล็กก็คือเรื่องสนิมและการเชื่อม หากการควบคุมงานไม่ดี หรือไม่มีโฟร์แมนคอยคุม ผู้รับเหมาอาจลักไก่ทาสีกันสนิมไม่ครบตามที่กำหนด หรือเกิดความเสียหายจากการเชื่อมซึ่งยากต่อการตรวจสอบ

          สำหรับโครงหลังคาเหล็กอีกประเภทคือ โครงหลังคาสำเร็จรูป ซึ่งผลิตจากเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์กันสนิมเรียบร้อย มีน้ำหนักเบา คำนวณปริมาณเหล็กที่แน่นอนไม่เหลือเศษ พร้อมวัดขนาดและตัดมาจากโรงงาน นำมายึดกันด้วยแผ่นเหล็กและตะปูเกลียวเท่านั้น จึงสามารถติดตั้งโครงหลังคาได้รวดเร็วกว่า โครงหลังคาเหล็กรูปพรรณ

3. อุปกรณ์หลังคา

          ช่วยเติมเต็มประโยชน์ของหลังคาให้ครบถ้วนและสวยงามขึ้น เช่น แผ่นปิดรอยต่อที่ใช้รองใต้กระเบื้อง ช่วยป้องกันน้ำรั่วซึมที่ใช้แทนระบบเปียกเพื่ออุดรอยต่อระหว่างกระเบื้องหลังคา ตะปูเกลียว และขอยึด ที่ต้องทำจากเหล็กชุบสังกะสีเพื่อช่วยป้องกันสนิม ตลอดจนไม้เชิงชายและแผ่นปิดกันนกแบบมีช่องระบายอากาศช่วยลดความร้อนและยังป้องกันสัตว์เล็ก ๆ เข้าไปอยู่อาศัยใต้หลังคาด้วย โดยอุปกรณ์หลังคาที่นิยมใช้กันมีอยู่ 7 ชนิด คือ

           1. แผ่นสะท้อนความร้อน ซึ่งเป็นอลูมิเนียมฟอยล์บริสุทธิ์ ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนก่อนเข้าสู่ตัวบ้าน โดยไม่ควรกักเก็บความร้อนไว้ในตัว และต้องมีความแข็งแรงทนทาน ไม่ฉีกขาด และไม่ติดไฟง่าย

           2. แปเหล็ก ซึ่งออกแบบเพื่อใช้งานบนหลังคาโดยเฉพาะ มีความแข็งแรง ปลอดสนิม เพราะเป็นเหล็กเต็มขนาด ติดตั้งง่ายและยึดด้วยตะปูเกลียวชุบกัลวาไนซ์กันสนิม

           3. รางน้ำตะเข้ เพื่อรองรับและระบายน้ำ โดยปราศจากปัญหาการรั่วและล้นราง อาจเป็นวัสดุสเตนเลสหรือกัลวาไนซ์ก็ได้

           4. แผ่นปิดรอยต่อ เป็นแผ่นพลาสติกสังเคราะห์ตัดขึ้นรูปตามลอนกระเบื้อง ทนทานต่อแดดและฝน โดยไม่รั่วซึม และสามารถทาสีให้กลมกลืนกับกระเบื้องหลังคาได้

           5. แผ่นปิดเชิงชาย ช่วยป้องกันสัตว์เล็กเข้าไปสร้างความเสียหายใต้หลังคา และมีช่องเล็ก ๆ ช่วยระบายอากาศ ลดความอับชื้น ทั้งนี้ควรจะทนต่อความร้อนโดยไม่แตกกรอบหรือบิดตัว

           6. กระเบื้องโปร่งแสง เลือกใช้สำหรับห้องที่ต้องการเปิดรับแสงสว่างจากธรรมชาติ และช่วยลดปัญหาความอับชื้นภายใน

           7. ชุดครอบระบบแห้ง เพื่อป้องกันการรั่วซึม และระบายความชื้นใต้โครงหลังคาได้ดี

หลังคาแบบไหน บ้านไม่ร้อน


          ด่านแรกที่ความร้อนจากดวงอาทิตย์ส่งมายังบ้านของเราก็คือหลังคา ทำให้หลายคนให้ความสำคัญกับหลังคามากขึ้น นอกจากคำถามว่า หลังคาสีอะไรดี ใช้กระเบื้องอะไรดี ก็เริ่มมีคำถามใหม่ ๆ เกิดขึ้นว่า ใช้หลังคาแบบไหนบ้านถึงจะไม่ร้อน แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การป้องกันไม่ให้บ้านร้อนนั้นมีหลายปัจจัยที่สามารถช่วยได้ เช่น ทิศทางการวางตำแหน่งของบ้าน แต่ที่หลังคามีความสำคัญในการป้องกันความร้อนได้นั้น ก็เพราะว่าปริมาณความร้อนส่วนใหญ่ที่เกิดในบ้านมาจากด้านบนของบ้าน หรือทางหลังคานั่นเอง

          รูปแบบหลังคาทรงจั่วเป็นรูปแบบหลังคาที่ช่วยป้องกันและระบายความร้อนให้กับบ้านได้ดีที่สุด สาเหตุเพราะมีพื้นที่ใต้หลังคามาก ซึ่งอากาศที่อยู่ใต้ผืนหลังคาทำหน้าที่เป็นเหมือนฉนวนกันความร้อน ช่วยกั้นอากาศร้อนไม่ให้กลับเข้ามาภายในห้อง นอกจากนี้การออกแบบหลังคาให้มีช่องเพี่อระบายความร้อน เช่น ระแนงบานเกล็ด หรือใช้บล็อกช่องลม เป็นตัวช่วยให้อากาศร้อนใต้หลังคาถ่ายเทได้เร็วขึ้น

          ส่วนวัสดุมุงหลังคาก็มีส่วนช่วยลดความร้อนให้กับบ้านได้ ส่วนใหญ่มีค่าการสะท้อนความร้อนที่เหมาะสม ช่วยให้ความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่สะสมอยู่ในผิววัสดุ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุที่ใช้ทำกระเบื้องหลังคา อย่างกระเบื้องหลังคาเซรามิกผิวมัน ซึ่งมีคุณสมบัติเก็บความร้อนได้น้อย แต่คายความร้อนได้เร็ว ก็ช่วยให้หลังคาบ้านไม่ร้อน ส่วนสีของหลังคาก็มีผลต่อความร้อนเช่นกัน โดยหลังคาสีอ่อนจะเก็บความร้อนน้อยและสะท้อนรังสีความร้อนได้ดีกว่าหลังคาสีเข้ม

          นอกจากการเลือกรูปแบบหลังคาและวัสดุมุงหลังคาที่ช่วยลดความร้อนให้กับตัวบ้านแล้ว การเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันความร้อนให้กับผู้อยู่อาศัยภายในบ้านได้เป็นอย่างดี ฉนวนกันความร้อนที่มักใช้กับหลังคา ได้แก่ แผ่นสะท้อนความร้อน มีลักษณะคล้ายแผ่นฟอยล์หนา ช่วยป้องกันและสะท้อนความร้อนจากแผ่นกระเบื้อง ติดตั้งใต้แผ่นกระเบื้องมุงหลังคา ฉนวนอีกแบบคือ ฉนวน Green 3 ใช้ติดตั้งบนฝ้าเพดานแม้จะก่อสร้างเสร็จแล้ว มีความหนาให้เลือก 4-6 นิ้ว และมีน้ำหนักเบา ช่วยสะท้อนความร้อนที่ผ่านกระเบื้องหลังคาเข้ามาให้ออกไปทางระแนงหรือช่องระบายอากาศที่ออกแบบไว้

ระบบหลังคาช่วยบ้านอย่างไรบ้าง

หมดปัญหาเรื่องบ้านร้อน

          ด้วยระบบหลังคาระบายอากาศที่ทำงานร่วมกับระบบการสะท้อนรังสีความร้อน กับระบบระบายความร้อนตามกลไกธรรมชาติ จะช่วยให้บ้านเย็นสบาย และประหยัดพลังงาน โดยสามารถเสริมนวัตกรรมอัลตร้าคูล หรือแผ่นสะท้อนความร้อน ซึ่งช่วยทั้งสะท้อนและป้องกันความร้อนในหนึ่งเดียว

หมดปัญหาเรื่องบ้านรั่ว
          นวัตกรรมการออกแบบกระเบื้องด้วยระบบ Interlocking และระบบลิ้นราง ช่วยป้องกันการรั่วซึมจากการไหลย้อนของน้ำฝน แม้ไม่ได้ใช้ Sub Roof โดยระบบหลังคายังเน้นถึงการปิดทุกรอยต่อ พร้อมมีชุดครอบระบบแห้ง (Dry Tech System) ซึ่งทนทานตลอดอายุของผืนหลังคา

มั่นใจในความแข็งแรง ปลอดภัย ทนทาน

          ระบบโครงหลังคาสำเร็จรูปช่วยกระจายแรงทำให้เกิดแรงยึดที่สามารถรับน้ำหนักได้อย่างเต็มที่ และด้วยวัสดุที่เป็นเหล็กกล้ากำลังแรงดึงสูง เคลือบโลหะกันสนิม ยึดด้วยระบบสกรูทั้งหมด ยิ่งช่วยป้องกันอันตรายจากการเกิดสนิมบริเวณรอยเชื่อม แถมติดตั้งง่าย จึงมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง

ระบบหลังคาเพื่อบ้านสบาย

          หากมองหลังคาแยกออกเป็นส่วน ๆ ก็จะพบว่าวัสดุมุงหลังคา ก็เปรียบเสมือนผิวหนังที่ห่อหุ้ม โครงหลังคาก็ทำหน้าที่เป็นกระดูก สร้างความแข็งแรง อุปกรณ์เสริมของหลังคาก็เป็นเหมือนเส้นเลือดที่ทำให้ทุกอย่างทำหน้าที่ได้ปกติ ดังนั้นหากต้องการให้หลังคาบ้านของคุณทำหน้าที่ได้ ไม่ขาดตกบกพร่อง ก็ควรให้ความสำคัญในทุกองค์ประกอบของหลังคา

          
นอกจากนี้ยังต้องเติมเต็มให้ครบทุกประโยชน์ของหลังคาด้วยอุปกรณ์หลังคา ที่ไม่เพียงทำให้หลังคาสวยงามเท่านั้น แต่ช่วยให้คุณมั่นใจในความแข็งแรง ทนทาน และปลอดภัย ไม่ร้อน ไม่รั่ว เพื่อบ้านที่อยู่ได้อย่างสบาย

ขอขอบคุณที่มา : http://home.kapook.com

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้น

001
   
กระเบื้องในปัจจุบันมีหลากหลายประเภท  สำหรับผู้ที่สร้างบ้านเอง การเลือกกระเบื้องตามใจนึกอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ  ลองมาดูวิธีการเลือกกระเบื้องให้เหมาะสมกับการใช้งานในบ้านคุณ

การเลือกซื้อกระเบื้องให้เหมาะกับการตกแต่งนั้น ส่วนใหญ่แล้วมัณฑนากรจะเป็นผู้เลือก หรือเจ้าของบ้านเป็นผู้เลือกเอง ซึ่งก็จะดูลักษณะการใช้งานประกอบกันไป สำหรับบ้านที่ไม่เล็กจนเกินไป ควรใช้กระเบื้องขนาด12x12 ตารางนิ้วสำหรับปูห้องโถง ส่วนห้องน้ำก็เช่นเดียวกัน แต่ก็สามารถเลือกใช้ขนาด 8x8 ตารางนิ้วเพื่อกันลื่น เนื่องจากมีช่องไฟมากกว่าขนาด 12x12 ตารางนิ้ว หรือเลือกกระเบื้องที่มีผิวหน้าสาก ส่วนห้องครัวเป็น ที่ใช้ในการประกอบอาหาร กระเบื้องที่ใช้ ต้องมีความสากของพื้นผิวพอสมควร เพื่อป้องกันการลื่นไถลขณะกำลังประกอบอาหาร
     003
 
กระเบื้องปูผนัง
     คือ กระเบื้องที่มีความบางและเบา ผิวหน้าของกระเบื้องมันวาวเหมาะกับการใช้ปูผนัง ทำให้ดูสวยงาม และทำความสะอาดง่าย ขนาดของกระเบื้องที่ผลิตมีตั้งแต่ 8x8 ตารางนิ้ว, 8x10 ตารางนิ้ว, 8x12 ตารางนิ้ว ส่วนใหญ่มักนิยมขนาด 8x8 ตาราง นิ้ว ส่วนขนาด 8x10 ตารางนิ้ว และ 8x12 ตารางนิ้ว เหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็ก ซึ่งช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้น ที่สำคัญมักไม่นิยมนำ กระเบื้องปูผนังไปปูพื้น เพราะผลิตมาใช้งานเฉพาะด้าน และความแข็งแรงของกระเบื้องปูผนัง น้อยกว่ากระเบื้องปูพื้น
 
 
กระเบื้องปูพื้น
     คือ กระเบื้องที่มีลักษณะหนากว่ากระเบื้องปูผนังเพื่อให้รับน้ำหนักได้มาก เพราะต้องปูติดกับพื้นบ้าน ผิวหน้าเคลือบด้านเล็กน้อย เพื่อป้องกันการลื่นไถลเวลาเดิน สามารถใช้ทั้งปูพื้นและปูผนังได้ แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ปูพื้นมากกว่า
 
กระเบื้องโมเสก
     คือ กระเบื้องที่มีขนาดเล็ก ๆ ประมาณ 1-4 นิ้ว กระเบื้องที่ผ่านการเผาแล้ว นำมาติดบนตาข่ายให้เป็นแผ่น บนพื้นที่ประมาณแผ่นละ 1 ตารางฟุต แต่ก่อนนิยมใช้ ในการปูห้องน้ำและผนังบางส่วน แต่ในปัจจุบันความนิยมเริ่มลดน้อยลง แต่ก็ยังคงมีคนใช้อยู่ เช่นใช้ปูภายนอกอาคารแทนการทาสีที่ตึกฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ตึกสูงในย่านอโศก ข้อดีของกระเบื้องโมเสกคือ อายุการใช้งานนานและสีไม่ซีด ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องทาสีใหม่
 
กระเบื้องตกแต่งคิ้วหรือบัว
     คือ กระเบื้องเซรามิกที่มีขนาด 2x8 ตารางนิ้วและ 2x12 ตารางนิ้ว ใช้สำหรับตกแต่งขอบห้องครัว ห้องน้ำ หรือห้องนั่งเล่นเพื่อความสวยงาม แทนที่จะมีกระเบื้องปูผนังหรือปูพื้นเพียงอย่างเดียว
002
     กระเบื้องปูพื้นที่ดีนั้น จะต้องมีคุณสมบัติเด่นที่ความแข็งแรง ทนทานต่อทุกสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังต้องสามารถทนต่อสารเคมีต่างๆ ได้ด้วย ต้องกักเก็บความเย็นได้ดี โดยเฉพาะกระเบื้องที่ถูกนำไปใช้งานในห้องครัวหรือห้องน้ำ เป็นต้น เราควรเลือกใช้กระเบื้องปูพื้นชนิดที่ถูกเผาเพียงครั้งเดียว เพราะมีความทนทานสูงกว่ากระเบื้องปูพื้นชนิดเผาสองครั้ง ที่มีสีสันสวยงาม แต่ไม่คงทนเมื่อถูกใช้งานหนัก ๆ เพราะฉะนั้นกระเบื้องปูพื้นชนิดเผาสองครั้ง ควรเลือกใช้งานในส่วนที่ไม่มีการใช้งานหนัก หรือนำไปตกแต่งผนังในส่วนที่ต้องการเน้นความสวยงามเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นได้ง่าย และเลือกใช้กระเบื้องปูพื้นชนิดที่ถูกเผาเพียงครั้งเดียว เกรดรองลงมาในส่วนที่ไม่ได้เน้นอะไรมากมาย หรืออาจมีส่วนอื่นมาปิดบัง
    ซึ่งตามท้องตลาดทั่วไปนั้น กระเบื้องปูพื้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ กระเบื้องปูพื้นแบบมาตรฐาน ไม่มีรอยตำหนิ สีเรียบเสมอกันทั้งแผ่น เรียกว่า กระเบื้องปูพื้นเกรดเอ และกระเบื้องปูพื้นแบบมีตำหนิ แต่ไม่มีเกิน 3 จุดและสังเกตได้ยากให้เป็นกระเบื้องปูพื้น เกรดบี การเลือกซื้อกระเบื้องปูพื้น หากต้องการใช้จำนวนมากเพื่อใช้ในสถานที่เดียวกัน ควรตรวจสอบมาตรฐานของกระเบื้องปูพื้นเสียก่อน ว่ามีรอยตำหนิ หรือสีเรียบเสมอกันหรือไม่ และควรเผื่อจำนวนในการเกิดความเสียหายระหว่างปู หรือซ่อมแซมในภายหลังด้วย

ขอขอบคุณ มาที่ : http://www.sahapaiboon.com

อุปกรณ์เสริมเพื่อหลังคาสวย


หลายคนคงจะคิดว่าการทำหลังคาบ้านจะจบลงที่การเลือกกระเบื้องมุงหลังคาสวยๆ แต่ทราบหรือไม่ว่านอกจากวัสดุมุงหลังคาแล้วยังมีอุปกรณ์เสริมต่างๆอีกหลายชนิด ที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับกระเบื้องหลังคา เพื่อให้หลังคาบ้านลดปัญหาเรื่องสัตว์รบกวน และการรั่วซึม แถมยังช่วยเพิ่มอายุการใช้งานให้หลังคาผืนสวยอยู่คู่กับบ้านคุณ ผืนสวยของเรา สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแถมยังก็บ้านคุณได้อีกด้วยได้นานขึ้นอีกด้วย

แผ่นปิดรอยต่อ
ระบบป้องกันน้ำรั่วซึมจากหลังคาที่ช่างก่อสร้างรู้จักกันดี เรียกว่า "ระบบเปียก" ใช้ปูนทรายในการอุดรอยต่อระหว่างกระเบื้องหลังคา มีข้อดีตรงที่สามารถปรับตามลอนกระเบื้องได้หลายรูปแบบ แต่ปูนทรายก็แตกร้าวได้ง่าย และยังต้องมีขั้นตอนการผสมปูนเพื่อใช้ในการก่อสร้าง วัสดุอีกอย่างหนึ่งที่นิยมใช้รองใต้กระเบื้องเพื่อป้องกันน้ำรั่วคือ แผ่นสังกะสีซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน แต่ดัดให้เป็นรูปทรงตามลอนกระเบื้องค่อนข้างยาก จึงได้มีการพัฒนาเอาคุณสมบัติที่ดีของวัสดุทั้งสองประเภทมารวมกัน เกิดเป็น "ระบบแห้ง" ซึ่งใช้แผ่นปิดรอยต่อซึ่งผลิตมาจากพลาสติกสังเคราะห์ PIB คุณภาพสูง แทนการใช้ปูนทราย นอกจากจะมีความบางจนสามารถดัดเป็นรูปตามลอนกระเบื้องได้ง่ายๆ แล้ว ยังยึดติดกับผิวของวัสดุ มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าปูนทราย และสามารถป้องกันการรั่วซึมได้ถึง 100%

ขอยึด และตะปูเกลียว
หลังคาเป็นส่วนที่ต้องการความทนทานสูง เพราะต้องรับทั้งแดดและฝนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นนอกจากกระเบื้องมุงหลังคาที่แข็งแรงแล้ว เรายังต้องเลือกใช้อุปกรณ์หลังคาที่ทนทานอีกด้วย ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ต้องใช้ร่วมกับกระเบื้องหลังคา 2 อย่าง คือ ขอยึด และตะปูเกลียวยึดกระเบื้อง ควรเลือกแบบที่ทำจากเหล็กเนื้อดี มีความแข็งแรง และควรมีการชุบสังกะสีเพื่อป้องกันสนิมด้วย

เชิงชาย
อีกส่วนสำคัญ ที่ไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็น คือ เชิงชายซึ่งอยู่บริเวณใต้ท้องกระเบื้องแผ่นสุดท้าย นิยมปิดด้วยแผ่นไม้ปิดเชิงชาย ถ้าปิดทึบไปเลย ไอร้อนที่ลอยขึ้นไปสะสมใต้หลังคาจะไม่มีช่องสำหรับระบายอากาศ แต่ ถ้าไม่ปิดเชิงชายก็ อาจมีนกเข้าไปใต้หลังคา หรือมีน้ำรั่วซึมผ่านทางนี้ได้ ปัจจุบันก็มีการผลิตแผ่นปิดเชิงชายแบบที่มีร่องระบายอากาศ ยังสามารถป้องกันสัตว์เล็กๆ เข้าไปอาศัยอยู่ใต้หลังคาได้เช่นเดิม แต่เพิ่มร่องระบายอากาศช่วยลดความร้อน และความอับชื้นสะสมใต้หลังคาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แผ่นปิดกันนก
เมื่อพูดถึงสัตว์เล็กๆ ที่มักจะมาพร้อมเสียงรบกวนจากการที่สัตว์เหล่านี้เข้าไปอาศัยพื้นที่ใต้หลังคาบ้านเราผ่านทางเชิงชาย และตามลอนกระเบื้อง จากการพัฒนาอุปกรณ์หลังคา จึงมีการคิดประดิษฐ์ "แผ่นปิดกันนกรองใต้ครอบ" ขึ้น แม้ชื่อจะบอกว่ารองใต้ครอบ แต่ความจริงแล้วมีการผลิตออกมา 2 รูปแบบ คือ สำหรับปิดบริเวณสันโค้ง และสันตะเข้ ซึ่งเป็นส่วนที่มักเกิดช่องว่างให้สัตว์เล็ดลอดเข้าไปสร้างรังได้
ขอขอบคุณ ที่มา : http://www.trachang.co.th